ขออนุญาต quote ข้อความของพี่อรรถจาก email ที่ส่งถึงพวกเราทุกคนนะคะ
"สวัสดีครับเพื่อนพ้องน้องพี่
จากที่พวกเราเป็น รัฐศาสตร์รุ่นแรกของ พัทยา จึงคิดว่า
น่าจะประชาสัมพันธ์ให้พวก นศ. กทม. รู้จักเราบ้าง
หัวข้อ ความรัก เพศ และ การเมือง ในงานรัฐศาสตร์วิชาการ ครั้งที่ 17 นี้
รบกวนเพื่อนพ้องน้องพี่ MPE1 แสดงแง่คิดให้ผมท่านละ หัวข้อนึง
แล้วผมจะเอามาขยายความ ส่งเป็นบทความสั้นๆ ไปแสดงที่ท่าพระจันทร์
นะ นะ นะ....หัวเดียวคิดได้แง่เดียว ขอหลายๆหัวหน่อยครับ
ถ้าไม่ว่างก็ขอสั้นๆพอให้เป็นแนวก็ได้ครับ
อรรถกร"
หัวข้อเสวนา "ความรัก เพศและการเมือง"
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ออมีโอกาสแลกเปลี่ยนความเห็นกับ อ.พิชญ์มาเล็กน้อยค่ะ
สรุปประเด็นได้ว่า จิงๆ ในเรื่องความรัก เพศ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเมืองมีอยู่หลายแง่มุมมาก
มุมมองต่อประเด็นนี้ ในเรื่องความรักที่มีผลต่อการเมือง ในความเห็นนะคะ เป็นความรักของคนในสังคม เน้นที่ความปรองดองสามัคคีของคนในสังคมหรือในชาตินั้นๆ เช่น การเมืองไทย ทุกวันนี้แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มมากที่มองการเมืองในความเห็นที่ต่างกัน ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่เห็นเด่นชัด คือกลุ่มการเมืองภาคประชาชน ระหว่างกลุ่มเสื้อเหลือง และกลุ่มเสื้อแดง ที่เวลานี้ ความเห็นทางการเมืองแตกต่างกันอย่างชัดเจน นั่นคือ ความรักระหว่างคนในสังคมน้อยลงมาก หรืออาจไม่เหลืออยู่เลยนี่คือความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม
ถ้ามองโฟกัสลงมาที่กลุ่มย่อย ยกตัวอย่างง่ายๆ ถึงกลุ่มเสื้อเหลืองและเสื้อแดง เช่นกัน คือ ภายในครอบครัว ในหนึ่งครอบครัว ขณะนี้เราพบกันอยู่บ่อยครั้งที่ คนหนึ่งเห็นด้วยกับกลุ่มเสื้อแดง อีกกลุ่มเห็นด้วยกับกลุ่มเสื้อเหลือง ซึ่งเมื่อมาอยู่ร่วมกันในครอบครัว ต่างฝ่ายที่พยายามหลีกเลี่ยงในการออกความเห็นต่อเรื่องสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในครอบครัว
สรุปง่ายๆ ถ้าคนในสังคมรักกัน การเมืองจะเป็นไปในความสมานสามัคคีปรองดอง ร่วมกันคิด แก้ปัญหา รับฟังความเห็นของฝ่ายตรงข้ามได้ แต่ถ้าคนในสังคมขัดแย้งกันเมื่อไร ปัญหาจะเริ่มเกิดขึ้นและขยายวงกว้างอีกเรื่อยไป จากประเด็นเพียงเล็กน้อยที่ความเห็นไม่ลงรอย จะขยายเป็นไม่เห็นด้วยกันในทุกๆ เรื่อง และกลายเป็นเกลียดกันในที่สุด
-------------------------------------------
ประเด็นเรื่องเพศกับการเมือง จะเป็นมุมมองในส่วนของ สตรีเพศและบุรุษเพศ กล่าวคือ บทบาทในทางการเมืองของผู้หญิงและผู้ชาย ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน จะเห็นว่าผู้ที่มีบทบาททางการเมืองส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชายทั้งสิ้น ไม่ว่าจะในองค์กรระดับโลก ระดับประเทศหรือระดับท้องถิ่นก็ตาม เบอร์หนึ่งมักเป็นผู้ชาย ผู้หญิงอาจมีบ้างแต่น้อยมาก สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ถึงแม้ปัจจุบันผู้หญิงจะได้รับการยอมรับว่ามีความสามารถเทียบเท่าชายแล้วก็ตาม แต่การยอมรับในวงกว้างหรือบางเรื่องราว ความเป็นผู้หญิงยังเป็นข้อจำกัดอยู่มาก เหตุผลต่างๆ นานาที่หยิบยกกันมานั้นอ้างอิงจากเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติและพฤติกรรมของความเป็นผู้หญิง คือ ผู้หญิงยังมีภาวะผู้นำอยู่น้อยมากถ้าเทียบกับชาย มีผลสืบเนื่องมาจากครั้งอดีตที่ให้ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลังต้องคอยตามผู้ชายอยู่ตลอดเวลา เหตุผลที่ว่าผู้หญิงมีความรอบคอบจิง แต่การมีความรอบคอบนั้นกลับทำให้ใครๆ มองว่าเป็นจุดด้อยหากจะกว้ามาเป็นผู้นำ กล่าวคือ ผู้หญิงละเอียดเกินไป ทั้งละเอียดและละเอียดอ่อน ทำให้การตัดสินใจช้าและไม่มีประสิทธิภาพเท่าผู้ชาย บลาๆๆ...
ตรงกันข้ามกับผู้ชายที่ถูกมองว่า สามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ การตัดสินใจฉับไว และมีมันสมองที่เป็นนักบริหารมากกว่า
ปัจจุบันเราจะเห็นว่ามีลัทธิของผู้หญิง หรือที่เรียกกันว่า feminism สตรีนิยม เกิดขึ้นมากมาย แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงเองไม่ได้ต้องการถูกมองว่าเป็นช้างเท้าหลังอีกต่อไป สิ่งเหล่านี้จึงโยงมาสู่เรื่องของเสรีภาพทางเพศ ผู้หญิงเราถูกมองว่าที่พยายามเป็นอยู่ทุกวันนี้ เป็นการก้าวผู้ชาย พยายามเป็นเหมือนผู้ชาย โดยที่ในความเป็นจิงผู้หญิงอาจยังไม่รู้เลยว่า การจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำจิงๆ นั้น ควรเป็นผู้นำในด้านไหนกันแน่
อย่างไรก็ตามเรื่องเพศกับการเมืองที่เมื่อยุคสมัยก่อนหน้านี้ไม่เคยถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงเท่าไรนัก แต่ในปัจจุบัน เรื่องนี้มีคนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มสตรีเพศเอง เทรนด์ของเพศต่อการเมืองจะยังคงน่าจับตามองต่อไป ว่าในอนาคต ผู้หญิงจะได้รับการยอมรับในทางการเมืองหรือทางอื่นๆ มากขึ้นหรือไม่
(แต่ก็ไม่รู้ว่าการเมืองในบ้าน โดยส่วนมากแล้วสามีหรือภรรยาที่จะมีอำนาจในบ้านมากกว่ากันนะคะ ^^")
-------------------------------------------------------
ด้วยความเคารพ ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นส่วนบุคคลค่ะ
เพื่อนๆ มีความเห็นต่อประเด็นนี้อย่างไรมาร่วมแจมกันได้เลยค่ะ
"สวัสดีครับเพื่อนพ้องน้องพี่
จากที่พวกเราเป็น รัฐศาสตร์รุ่นแรกของ พัทยา จึงคิดว่า
น่าจะประชาสัมพันธ์ให้พวก นศ. กทม. รู้จักเราบ้าง
หัวข้อ ความรัก เพศ และ การเมือง ในงานรัฐศาสตร์วิชาการ ครั้งที่ 17 นี้
รบกวนเพื่อนพ้องน้องพี่ MPE1 แสดงแง่คิดให้ผมท่านละ หัวข้อนึง
แล้วผมจะเอามาขยายความ ส่งเป็นบทความสั้นๆ ไปแสดงที่ท่าพระจันทร์
นะ นะ นะ....หัวเดียวคิดได้แง่เดียว ขอหลายๆหัวหน่อยครับ
ถ้าไม่ว่างก็ขอสั้นๆพอให้เป็นแนวก็ได้ครับ
อรรถกร"
หัวข้อเสวนา "ความรัก เพศและการเมือง"
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ออมีโอกาสแลกเปลี่ยนความเห็นกับ อ.พิชญ์มาเล็กน้อยค่ะ
สรุปประเด็นได้ว่า จิงๆ ในเรื่องความรัก เพศ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเมืองมีอยู่หลายแง่มุมมาก
มุมมองต่อประเด็นนี้ ในเรื่องความรักที่มีผลต่อการเมือง ในความเห็นนะคะ เป็นความรักของคนในสังคม เน้นที่ความปรองดองสามัคคีของคนในสังคมหรือในชาตินั้นๆ เช่น การเมืองไทย ทุกวันนี้แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มมากที่มองการเมืองในความเห็นที่ต่างกัน ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่เห็นเด่นชัด คือกลุ่มการเมืองภาคประชาชน ระหว่างกลุ่มเสื้อเหลือง และกลุ่มเสื้อแดง ที่เวลานี้ ความเห็นทางการเมืองแตกต่างกันอย่างชัดเจน นั่นคือ ความรักระหว่างคนในสังคมน้อยลงมาก หรืออาจไม่เหลืออยู่เลยนี่คือความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม
ถ้ามองโฟกัสลงมาที่กลุ่มย่อย ยกตัวอย่างง่ายๆ ถึงกลุ่มเสื้อเหลืองและเสื้อแดง เช่นกัน คือ ภายในครอบครัว ในหนึ่งครอบครัว ขณะนี้เราพบกันอยู่บ่อยครั้งที่ คนหนึ่งเห็นด้วยกับกลุ่มเสื้อแดง อีกกลุ่มเห็นด้วยกับกลุ่มเสื้อเหลือง ซึ่งเมื่อมาอยู่ร่วมกันในครอบครัว ต่างฝ่ายที่พยายามหลีกเลี่ยงในการออกความเห็นต่อเรื่องสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในครอบครัว
สรุปง่ายๆ ถ้าคนในสังคมรักกัน การเมืองจะเป็นไปในความสมานสามัคคีปรองดอง ร่วมกันคิด แก้ปัญหา รับฟังความเห็นของฝ่ายตรงข้ามได้ แต่ถ้าคนในสังคมขัดแย้งกันเมื่อไร ปัญหาจะเริ่มเกิดขึ้นและขยายวงกว้างอีกเรื่อยไป จากประเด็นเพียงเล็กน้อยที่ความเห็นไม่ลงรอย จะขยายเป็นไม่เห็นด้วยกันในทุกๆ เรื่อง และกลายเป็นเกลียดกันในที่สุด
-------------------------------------------
ประเด็นเรื่องเพศกับการเมือง จะเป็นมุมมองในส่วนของ สตรีเพศและบุรุษเพศ กล่าวคือ บทบาทในทางการเมืองของผู้หญิงและผู้ชาย ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน จะเห็นว่าผู้ที่มีบทบาททางการเมืองส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชายทั้งสิ้น ไม่ว่าจะในองค์กรระดับโลก ระดับประเทศหรือระดับท้องถิ่นก็ตาม เบอร์หนึ่งมักเป็นผู้ชาย ผู้หญิงอาจมีบ้างแต่น้อยมาก สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ถึงแม้ปัจจุบันผู้หญิงจะได้รับการยอมรับว่ามีความสามารถเทียบเท่าชายแล้วก็ตาม แต่การยอมรับในวงกว้างหรือบางเรื่องราว ความเป็นผู้หญิงยังเป็นข้อจำกัดอยู่มาก เหตุผลต่างๆ นานาที่หยิบยกกันมานั้นอ้างอิงจากเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติและพฤติกรรมของความเป็นผู้หญิง คือ ผู้หญิงยังมีภาวะผู้นำอยู่น้อยมากถ้าเทียบกับชาย มีผลสืบเนื่องมาจากครั้งอดีตที่ให้ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลังต้องคอยตามผู้ชายอยู่ตลอดเวลา เหตุผลที่ว่าผู้หญิงมีความรอบคอบจิง แต่การมีความรอบคอบนั้นกลับทำให้ใครๆ มองว่าเป็นจุดด้อยหากจะกว้ามาเป็นผู้นำ กล่าวคือ ผู้หญิงละเอียดเกินไป ทั้งละเอียดและละเอียดอ่อน ทำให้การตัดสินใจช้าและไม่มีประสิทธิภาพเท่าผู้ชาย บลาๆๆ...
ตรงกันข้ามกับผู้ชายที่ถูกมองว่า สามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ การตัดสินใจฉับไว และมีมันสมองที่เป็นนักบริหารมากกว่า
ปัจจุบันเราจะเห็นว่ามีลัทธิของผู้หญิง หรือที่เรียกกันว่า feminism สตรีนิยม เกิดขึ้นมากมาย แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงเองไม่ได้ต้องการถูกมองว่าเป็นช้างเท้าหลังอีกต่อไป สิ่งเหล่านี้จึงโยงมาสู่เรื่องของเสรีภาพทางเพศ ผู้หญิงเราถูกมองว่าที่พยายามเป็นอยู่ทุกวันนี้ เป็นการก้าวผู้ชาย พยายามเป็นเหมือนผู้ชาย โดยที่ในความเป็นจิงผู้หญิงอาจยังไม่รู้เลยว่า การจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำจิงๆ นั้น ควรเป็นผู้นำในด้านไหนกันแน่
อย่างไรก็ตามเรื่องเพศกับการเมืองที่เมื่อยุคสมัยก่อนหน้านี้ไม่เคยถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงเท่าไรนัก แต่ในปัจจุบัน เรื่องนี้มีคนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มสตรีเพศเอง เทรนด์ของเพศต่อการเมืองจะยังคงน่าจับตามองต่อไป ว่าในอนาคต ผู้หญิงจะได้รับการยอมรับในทางการเมืองหรือทางอื่นๆ มากขึ้นหรือไม่
(แต่ก็ไม่รู้ว่าการเมืองในบ้าน โดยส่วนมากแล้วสามีหรือภรรยาที่จะมีอำนาจในบ้านมากกว่ากันนะคะ ^^")
-------------------------------------------------------
ด้วยความเคารพ ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นส่วนบุคคลค่ะ
เพื่อนๆ มีความเห็นต่อประเด็นนี้อย่างไรมาร่วมแจมกันได้เลยค่ะ